แต่งตัวให้ดอกไม้


มาลัยชายเดียว


วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

เรื่องของหมา

......เรื่องของหมา







อาราย....หว่า





คุยเพลิน





นั่งดีดี!!!!จิ












เรื่องหมาหมา...สี่ขาผู้มีความสุข

เรื่อง หมาหมา...สี่ขาผู้ให้ความสุข



เรารักกันนะ......





แข็งจังครับ....เจ้านาย









งวดหน้าออกสี่สี่แน่เลย









หนูสวยไหมคะ ???







สบายจังเลยครับ...เจ้านาย




อบอุ่นที่สุดเลย





เราเป็นเพื่อนกันตลอดไปนะ.....






วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

รู้จักรัก





การมีคนรัก
ไม่ได้หมายความว่าคุณรู้จักรัก


ความรู้สึกแสนดี
การมีเรื่องประทับใจ
ได้ช่วยกันสานสายใยผูกพัน
เป็นเพียงเปลือกนอกของความรัก






เนื้อแท้ของความรัก
คือการมีกันและกันในยามยาก
แก่นสารของความรัก
คือการรู้ทางที่จะร่วมกอดคอ
เดินหน้าไปสู่ความดับทุกข์
ไม่เหลือแม้้น้ำตาอาลัยกันในยามตาย





...จากหนังสือ..ดังตฤณวิสัชนา ฉบับ รู้จักรัก













คำคม...สอนใจ





การที่คุณบอกความในใจกับใครคนนั้นไป มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย
เพราะบางทีใครคนนั้นอาจกำลังรอคำพูดของคุณอยู่






เรือที่จอดอยู่ในท่าจะปลอดภัยที่สุด
แต่เรือไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้จอดอยู่ในท่า

เธอจะพบความสวยงามของมหาสมุทรได้อย่างไร
หากเธอไม่กล้าพอที่จะออกไปไกลจากฝั่ง

สำหรับคนที่มีความอดทน
แม้ชั่วโมงที่ยากลำบากที่สุดก็ยาวนานเพียง 60 นาที

วันที่ยาวนานที่สุดคือวันที่หัวใจของเธอ
ไม่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

ฉันเป็นคนมั่งมี
ไม่ใช่เพราะฉันมีมากมาย
แต่เป็นเพราะว่าฉันมีมากพอ
เทียนที่นำไปจุดเทียนเล่มอื่นจะไม่สูญเสียความสว่างของตัวเอง
แต่จะทำให้ห้องสว่างไสวขึ้น

บางครั้ง เราอาจไม่เข้าใจการกระทำของตัวเอง
ฉะนั้นจึงไม่ควรตัดสินการกระทำของคนอื่น

ถ้ามองแต่ความผิดของคนอื่น เธอจะมีแต่ความเกลียด
ถ้ามองแต่ความดีของคนอื่น เธอจะมีแต่ความรัก

เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น อย่ามัวคิดว่าใครเป็นคนทำ
แต่จงคิดว่าจะแก้ไขได้อย่างไร

เมื่อพบความผิดพลาด ก็นับว่า
ความผิดพลาดนั้นได้รับการแก้ไขไปแล้วส่วนหนึ่ง

เธอต้องยอมรับผลของพายุของฝนฟ้าคะนอง
ด้วยความสำเร็จขึ้นอยู่กับการกระทำไม่ใช่การอธิษฐาน
.
.

คิดทุกคำที่พูด แต่อย่าพูดทุกคำที่คิด










ธรรมะเย็นใจ


ธรรมะเย็นใจ : สอนใจตัวเองก่อน

เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่

มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก

สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่มีลูก

เมื่อลูกทำผิดจริง ๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก

สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี

มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว

และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม

แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง

จึงจะเกิดประโยชน์เป็นการสอน

ถ้าเราสังเกตุดู บางครั้งใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน

แต่ความเป็ฯจริงแล้วเราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา

สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ

เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา

ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน พูดคำเดียวกัน นั่นคือโกรธ

ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือ

สอน

เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด

อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน

อย่ายินดี อย่ายินร้าย ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน

พยายามอบรมใจตนเองว่า

ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง

ชอบจับผิดแต่คนอื่น
มองเห็นความผิดของคนอื่นเหมือนภูเขา

เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม

ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน

ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร

ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน

ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร
:
:

เรามักทุ่มใจ ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง

อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดี ยินร้าย

พยายามรักษาใจเย็น ใจดี ใจกลาง ๆ

ปกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากัน หรืออาจจะมากกว่าเขา

แต่ความรู้สึกของเรามักจะมากกว่าเขา

และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลยน่ากลัวจริง ๆ

สังเกตุดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโหว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก

ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม....ก็อาจจะไม่

เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ

อย่าเชื่อความรู้สึกให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลาง ๆ

ไว้
:
:

อย่าเชื่อความรู้สึก

อย่าเชื่ออารมณ์

อย่ายินดียินร้าย

:

:

ธรรมะของพระอาจารย์มิตซูโอะ เควสโก

วัดสุนันทวนาราม

บ้านท่าเตียน ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัด

กาญจนบุรี

จากหนังสือเหตุสมควรโกรธ....ไม่มีในโลก
:
:

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

จุดหมายปลายทางของชีวิต

จุดหมายปลายทางของชีวิต





เมื่อใดเปลือกฟองไข่ หรือกะลามะพร้าวที่หุ้มครอบอยู่นั้น

ได้ถูกเพิกออกหรือทำลายลง,

แสงสว่างก็จะสาดส่องถึงสิ่งที่อยู่ข้างในทั้งที่ไม่ต้องมีใครขอร้องอ้อนวอน

หรือบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด ฉันใด; ฝ้าของใจ
กล่าวคืออวิชชา อุปาทาน ตัณหา อันเป็นฝ้าทั้งหนาและบาง
ทั้งชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นในถูกลอกออก ด้วยการปฏิบัติธรรมแล้ว
เมื่อนั้น แสงหรือรสแห่งพระนิพพาน ก็เข้าสัมผัสกันกับจิตได้ ฉันนั้นฯ



เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้ว มีโอกาสสัมผัสพระนิพพานได้อย่างนี้
เราจึงเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งทันทีว่า
พระนิพพานไม่ใช่จิต, ไม่ใช่เจตสิกอันเกิดอยู่กับจิต,
ไม่ใช่รูปธรรม, ไม่ใช่โลกบ้านเมือง, ไม่ใช่ดวงดาว,
ไม่ใช่อยู่ ในเรา, ไม่ใช่เกิดจากเรา, ไม่ใช่อะไรปรุงขึ้นทำขึ้น,
พระนิพพาน เป็นเพียงสิ่งที่เข้ามาสัมผัสดวงใจเรา
ในเมื่อ เราได้ดำเนินการปฏิบัติธรรมถึงที่สุด เท่านั้นเองฯ





คติธรรมในการทำงาน

คนใจร้อน


หนุ่มเลือดร้อนเข้าไปนั่งในร้านก๋วยเตี๋ยวไม่ทันไรก็ตะโกนว่า
"ทำไมยังไม่ยกก๋วยเตี๋ยวมาสักที จะให้รอถึงชาติหน้าหรือไง"

สักประเดี๋ยวเจ้าของร้านก็ออกมาพร้อมก๋วยเตี๋ยวเต็มชาม
แต่พอถึงโต๊ะพ่อหนุ่มก็เทก๋วยเตี๋ยวกองบนโต๊ะแล้วบอกว่า

"ฉันต้องรีบใช้ชาม คุณเองก็รีบกินเข้า จะต้องรีบใช้โต๊ะ"

ชายหนุ่มเดือดดาลมาก กลับถึงบ้านก็เล่าให้ภรรยาฟังแล้วบอกว่า
"ฉันเนี่ยโกรธตายเลย" ภรรยาได้ฟังดังนั้นก็รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋า

แล้วพูดว่า "เนื่องจากเธอตายแล้ว ฉันจะไปแต่งงานใหม่"

วันรุ่งขึ้นหลังจากภรรยาแต่งงานใหม่
เจ้าบ่าวคนใหม่ก็ขอหย่าโดยให้เหตุผลว่า "ก็เธอไม่ยอมมีลูกสักที"







คนใจร้อนมักหงุดหงิดเวลาเจอคนที่ใจเย็น หรือเชื่องช้ากว่าตน
แต่ลองได้เจอคนที่ใจร้อนและเร็วกว่าตน ก็จะรู้ว่ามันแย่กว่ามาก

เวลาเราคาดคั้นเร่งรัดใคร เราไม่รู้ดอกว่าเราสร้างความทุกข์แก่เขาแค่ไหน
ต่อเมื่อถูกคนอื่นคาดคั้นเอากับเราบ้าง
จึงจะรู้ซึ้งแก่ใจว่าคนใจร้อนนั้นน่ารำคาญเพียงใด



ทุกวันนี้ใครต่อใครดูเร่งรีบกันไปหมด
เพราะเราพากันเชิดชูบูชาความเร็ว จะทำอะไรต้องให้เสร็จไว ๆ

ถ้าจะเปิดปุ๊บก็ต้องติดปั๊บ ถ้าจะกินกาแฟก็ต้องเป็นอินแสตนต์คอฟฟี่
ส่วนก๋วยเตี๋ยวก็ต้องเป็นมาม่าไวไวถึงจะถูกใจ

แม้กระทั่งเวลาทำสมาธิ ก็อยากบรรลุในวันนี้วันพรุ่ง
เราต่างถูกสอนว่าเวลานั้นเป็นเงินเป็นทอง


ดังนั้นจึงพยายามใช้เวลาอย่างประหยัดที่สุด
ทุกอย่างต้องให้เสร็จในเวลาน้อยที่สุด จะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น

แต่น่าแปลกที่ว่ายิ่งรีบเท่าไร ยิ่งประหยัดเวลามากเท่าไร
เวลาว่างกลับเหลือน้อยลง วันแล้ววันเล่า
ชีวิตก็ยังยุ่งเหยิงตั้งแต่เช้ามืดจรดดึกดื่น

เป็นเพราะคอยไม่เป็น เราจึงเย็นไม่ได้เสียที
นั่นยังไม่เท่าไรหากว่าคนอื่น ๆ ใจเย็นกว่าเรา

แต่ถ้าคนรอบตัวล้วนใจร้อนพอ ๆ กัน โลกนี้ก็คือนรกดี ๆ นี่เอง

ลองช้าลงสักนิด เย็นลงสักหน่อย เราจะมีความสุขกว่านี้มาก
อย่างน้อยตัวเราก็จะเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น
ไม่เหมือนกับผู้จัดการในเรื่องข้างล่าง


จันทร์ต้นเดือนเริ่มด้วยความอลหม่าน ผู้จัดการเอียงคอหนีบหูโทรศัพท์
ขณะสั่งงานเลขาฯ ส่วนมือก็กดแป้นคอมพิวเตอร์ไวเป็นระวิง

ประเดี๋ยวก็รีบไปคว้าแฟ้มในตู้ พลิกเอกสารอย่างรวดเร็ว
แล้วกลับมาโทรศัพท์ต่อ
ครั้นวางหูโทรศัพท์เสร็จก็สั่งงานเลขาฯ ต่อ

ส่วนมือหนึ่งก็เปิดบัญชีขึ้นมาดู แต่ไม่ทันไรก็หยุด
พร้อมส่ายตามองหาอะไรสักอย่างบนโต๊ะซึ่งมีเอกสารกองสุ่มอยู่เต็ม
ด้วยความหวังดี เลขาฯ จึงเอ่ยถามว่า

"หาอะไรอยู่หรือคะ เผื่อดิฉันจะช่วยหาได้"


"ดินสอของผมหายไปไหน"
"เหน็บอยู่ที่หูของท่านไงคะ"
"หูข้างไหนล่ะ บอกมาเร็ว ผมไม่มีเวลามากหรอกนะ"










คติธรรมในการทำงาน

ลืมตัว


พระสี่รูปตัดสินใจเข้ากรรมฐานอย่างอุกฤษฏ์
โดยตกลงว่าจะไม่พูดกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน
วันแรกผ่านไปด้วยดี แต่พอขึ้นวันที่สอง

เมื่อได้ยินเสียงผิดสังเกตที่กุฏิ พระรูปหนึ่งก็พูดขึ้นว่า
"เอ มีใครเข้าไปในกุฏิผมหรือเปล่า ไม่ได้ล็อกห้องไว้เสียด้วย"
พระอีกรูปหนึ่งจึงกล่าวขึ้น "ท่านนี่แย่จัง เราตกลงว่าจะไม่พูดกัน
หนึ่งเดือนไม่ใช่หรือ นี่ผ่านไปไม่ถึงสองวันท่านก็เผลอเสียแล้ว"

แล้วพระรูปที่สามก็พูดขึ้นว่า "ท่านเองก็เผลอพูดกับเขาด้วยเหมือนกัน"
แล้วพระรูปที่สี่ก็โพล่งขึ้นมาว่า "พวกท่านไม่ได้เรื่องสักคน
ดูสิ มีผมคนเดียวที่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย"

คนเราเมื่อเพ่งโทษคนอื่นแล้ว ก็มักจะลืมมองตัวเอง
ครั้นตัวเองเผลอแล้ว ก็ยังมองไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเองเสียอีก
กลับเห็นข้อบกพร่องของคนอื่นเต็มสองตา
ลำพังอายตนะทั้งห้า ก็คอยพาจิตจดจ่อแต่เรื่องนอกตัวอยู่แล้ว
ยิ่งถ้าจิตของเราคอยส่งออกนอกซ้ำเข้าไปอีก
เราก็ยิ่งมองไม่เห็นตัวเองเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะเวลาเกิดหงุดหงิดขัดเคืองใจ
จิตมีแต่คอยหาเป้าสำหรับพุ่งโทสะเข้าใส่
เพราะฉะนั้น เวลาไม่พอใจอะไรจะต้องระวังตัวเป็นพิเศษ
หาไม่แล้วเราอาจเหมือนกับคนในนิทานข้างล่างนี้

ชายคนหนึ่งเห็นชานอ้อยที่มีคนถ่มทิ้งไว้เรี่ยราดอยู่บนถนน
จึงหยิบมาเคี้ยว แน่นอนว่าย่อมไม่มีรสชาติอะไร
มีแต่ความจืดสนิท จึงโวยวายด้วยความโกรธเคืองว่า

"ใครวะ ตะกละตะกลามเสียจริง เล่นดูดน้ำตาลจนเกลี้ยงหมด"
เพียงแต่ย้อนดูตัวสักนิด ก็จะรู้ว่าใครกันแน่ที่ตะกละ

นิทานทั้งสองเรื่องบอกเราว่า ก่อนจะตำหนิติเตียนหรือด่าว่าใคร
เหลียวมาดูตัวเองเสียก่อน เพราะอาจเป็นอย่างคนที่เรากำลังจะพ่นพิษใส่ก็ได้
พูดง่าย ๆ คือ "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง"

วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

เพิ่มสุข ลดสุก


เพิ่มสุข ลดสุก ด้วยคติธรรม






............หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล


วิปัสสนานี้ มีผลอานิสงส์ใหญ่ยิ่งกว่าทาน ศีล
พรหมวิหารภาวนา ย่อมทำให้ผู้เจริญนั้นมีสติไม่หลง
เมื่อทำกาลกิริยา มีสุคติภพ คือ มนุษย์และโลกสวรรค์
เป็นไปในเบื้องหน้า หากยังไม่บรรลุผลทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
ถ้าอุปนิสัยมรรคผลมี ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นบรรลุมรรคผล
ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้นั่นเทียว

อนึ่ง ยากนักที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะต้องตั้งอยู่ในธรรมของมนุษย์
คือ ศีล ๕ และกุศลกรรมบท ๑๐ จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ชีวิตที่เป็นมานี้ ก็ได้ด้วยยากยิ่งนักเพราะอันตรายชีวิต
ทั้งภายใน ภายนอกมีมากต่างๆ

การที่ได้ฟังธรรมของสัตตบุรุษคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้
ก็ได้ยากยิ่งนัก เพราะกาลที่ว่างเปล่าอยู่
ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกยืดยาวนานนัก บางคาบ บางสมัย
จึงจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกสักครั้งสักคราวหนึ่ง
เหตุนั้นเราทั้งหลายพึงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด
อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานี้เลย








..........หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ



เวลากิเลสมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นทางกาย เกิดขึ้นทางวาจา เกิดขึ้นทางใจ
รู้ทันมันเดี๋ยวนี้ มันก็ดับไปเดี๋ยวนี้แหละ

ตัวสติมันปกครองอยู่เสมอ ถ้ามีสติอยู่ทุกเมื่อ มันบ่ได้คุบมันหละ
ครั้นเกิดขึ้น รู้ทันมันก็ดับ รู้ทันก็ดับ รู้ทันก็ดับ
คิดผิดก็ดับ คิดถูกก็ดับ พอไจไม่พอไจก็ดับลงทันทีที่ตัวสติ







...........หลวงพ่อดู่ พฺรหฺมปญฺโญ



"โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม" เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้น

ไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้

ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา

ให้มาไล่ดูตัวเองแก้ไขตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง

ถ้าเป็นโลกแล้ว จะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา

แต่ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ต้องวกกลับเข้ามาหาตัวเอง

เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดในตัวของเรานี่ทั้งนั้น รอให้แก่เฒ่าหรือจวนตัวแล้ว

จึงสนใจภาวนา ก็เหมือนคนหัดว่ายน้ำเอาตอนเรือหรือแพใกล้แตก มันจะไม่ทันการณ์







............ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก



ก่อนที่จะพูดอะไร ให้ถามตัวเองว่าที่จะพูดนี้จำเป็นหรือเปล่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูด นี่เป็นขั้นต้นของการอบรมใจ
เพราะถ้าเราควบคุมปากตัวเองไม่ได้ เราจะควบคุมใจได้อย่างไร ไปกี่วัดกี่วัด
รวมแล้วก็วัดเดียวนั่นหละคือ วัดตัวเรา
จิตเปรียบเหมือนพระราชา อารมณ์ทั้งหลายเปรียบเหมือนเสนา
เราอย่าเป็นพระราชาที่หูเบา มัวแต่นึกถึงวันเกิด ให้นึกถึงวันตายเสียบ้าง
ของดีจริง ไม่ต้องโฆษณา คนชอบขายความดีตัวเอง
ที่จริงขายความโง่ของตัวเองมากกว่า
คมให้มีในฝัก ให้ถึงเวลาที่จะต้องใช้จริงๆ จึงค่อยชักออกมา จะได้ไม่เสียคม
สักวันหนึ่งความตายจะมาถึงมาบีบบังคับให้เราปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง
ฉะนั้น เราต้องหัดปล่อยวางล่วงหน้าให้มันเคย ไม่อย่างนั้น
พอถึงเวลาไปจะลำบาก
เวลาเราทำงานอะไรอยู่ ถ้าเราสังเกตว่าใจเราเสีย ก็ให้หยุดทันที

แล้วกลับมาดูใจของตนเอง เราต้องรักษาใจของเราไว้เป็นงานอันดับแรก
คนอื่นเขาด่าเรา เขาก็ลืมไป แต่เราไปเก็บมาคิด เหมือนเขาคายเศษอาหารทิ้งไปแล้ว
เราไปเก็บมากิน แล้วจะว่าใครโง่











........หลวงพ่อชา สุภทฺโท


ผู้ไปยึดอารมณ์จะเป็นทุกข์ เพราะอารมณ์มันไม่เที่ยง
ดูซิ...เราข้ามกันไปหมด พากันทำบุญ แต่ว่าไม่พากันละบาป
ผ้าสกปรกไม่ฟอก แต่อยากจะรับน้ำย้อมนะ
ที่เรามาปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อให้เห็นจิตเดิม
เราคิดว่าจิตเป็นสุข จิตเป็นทุกข์ แต่ความจริงจิตไม่ได้สร้างสุขสร้างทุกข์
อารมณ์มาหลอกลวงต่างหาก มันจึงหลงอารมณ์
ฉะนั้น เราจึงต้องมาฝึกจิตใจให้ฉลาดขึ้น ให้รู้จักอารมณ์
ไม่ให้เป็นไปตามอารมณ์ จิตก็สงบ การทำจิตใจของเราให้มีกำลัง
กับการทำกายของเราให้มีกำลัง มันต่างกัน การทำกายให้มีกำลังก็คือ การออกกำลัง
กายทำกายบริหาร มีการกระโดด การวิ่ง นี่คือการทำกายให้มีกำลัง
การทำจิตใจให้มีกำลังก็คือ ทำจิตให้สงบ ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่น คิดนี่ไปต่างๆ
ให้อยู่ในขอบเขตของมัน เพราะว่าจิตของเรานั้นไม่เคยได้สงบ
ไม่เคยมีกำลัง มันจึงไม่มีกำลังทางด้านสมาธิภายใน


















วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

เก็บดอกไม้ไว้นานๆ

.... วิธีการเก็บรักษาดอกไม้ไว้นาน ๆ







1. ปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ กำดอกไม้เป็นกำย่อย ๆ 5-10 ช่อ แล้วนำไปแขวน
กลับหัวลง เพื่อให้ก้านตรง ควรแขวนไว้ในที่แห้ง ๆ ไม่ถูกแสงแดดโดยตรง


2. การทำดอกไม้ทับแห้ง ทำได้โดยการเก็บลงหนังสือ แต่ก่อนที่จะเก็บลงหนังสือ
ควรนำดอกไม้มาตัดแต่ง ซึ่งสามารถนำดอกไม้แห้งที่ได้ มาใช้ทำการ์ด ที่คั่นหนังสือ และอื่นอีกมากมาย



3. ใช้สารดูดความชื้น ใช้ซิลิกาเจลแบบเม็ดละเอียด (ทราย)
วิธีทำเริ่มจากการนำดอกไม้ที่ต้องการไปอบแห้งแล้วตัดก้านออก

ให้เหลือความยาวประมาณ 1 นิ้วเป็นอย่างต่ำ หลังจากนั้นก็หาภาชนะ ที่มีขนาดใหญ่พอที่จะบรรจุดอกไม้ที่
ต้องการอบได้ เติมซิลิกาเจลลงในภาชนะประมาณ 1/2 - 1 นิ้ว ปักดอกไม้ที่เตรียมไว้ลงในซิลิกาเจล แล้ว
ค่อย ๆใช้ช้อนตัก ซิลิกาเจลเติมลงไปรอบ ๆ ดอก และ ในระหว่างกลีบดอก ระวัง อย่าให้กลีบพับ จนกระทั่ง
กลบดอกไม้ท่วมหมด ขั้นต่อไป ถ้าเป็นดอกกุหลาบให้ปิดฝาให้สนิท แล้วทิ้งไว้ประมาณ 7 ถึง 10 วัน หรือถ้า
เป็นดอกกล้วยไม้ ก็ยังไม่ต้องปิดฝา นำไปใส่เตาไมโครเวฟ ใช้ไฟแรง 1 นาที หลังจากนั้นนำออกมาตั้งทิ้งไว้
ให้เย็นตัวลง เมื่อดอกไม้แห้งพอแล้ว ก็ค่อย ๆ เทซิลิกาเจลออก แล้วใช้พู่กันขนนุ่มๆ ปัดเศษซิลิกาเจลที่ติด
อยู่ออกให้หมด
4.การใช้กลีเซอรีน เป็นวิธีการถนอมใบไม้วิธีทำ เตรียมสารแช่โดยผสม กลีเซอรีน (หาซื้อตามร้าน
ขายเคมีทำสบู่) 1 ส่วน กับน้ำอุ่นมาก ๆ 2 ส่วน กวนผสมกันให้ดี ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น (กะปริมาณให้มากพอ
ท่วมใบไม้) ต่อมาเตรียมใบไม้โดย เลือกใบที่สวย สมบูรณ์ ไม่มีรอยถลอก หรือฉีกขาด รอยพวกนี้จะเห็นชัด
ขึ้นเมื่อเสร็จกระบวนการแช่ เรียงใบในภาชนะโดยให้ส่วนโคนใบอยู่ด้านล่าง ตั้งปลายใบขึ้น แล้วจึงเทสารแช่
ลงไปให้ท่วม ใช้เวลา 2 สัปดาห์ ถึง 2 เดือน เอาใบขึ้นมาล้างน้ำ เช็ดให้แห้งลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกัน
จะได้เก็บดอกไม้ไว้ได้นาน ๆดังตัวอย่างที่ทำเสร็จแล้ว ดอกไม้ - ใบไม้แห้ง